ปัญญาประดิษฐ์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า AI (Artificial Intelligence) เป็นแนวคิดในการพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ให้สามารถในการคิด ตัดสินใจและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ ส่งผลให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีความฉลาดมากขึ้น สามารถทำงานในระบบที่มีความซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องอาศัยแรงงานจากมนุษย์
ในการแบ่งระดับตามฉลาดและความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ เราสามารถแบ่งได้ออกเป็น 3 ระดับ คือ
AI Caliber 1) Artificial Narrow Intelligence (ANI)
ในระดับแรกคือ Artificial Narrow Intelligence (ANI) หรือบางครั้งเรียกว่า “Weak AI” ซึ่งในระดับนี้ AI จะมีความสามารถและความเชี่ยวชาญในเฉพาะด้าน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือ AlphaGo ที่สามารถเอาชนะเซียนโกะมือหนึ่งของโลก
AI Caliber 2) Artificial General Intelligence (AGI)
ในระดับที่สองนี้คือ Artificial General Intelligence (AGI) หรือบางครั้งเรียกว่า “Strong AI” หรือ “Human-Level AI” ในระดับนี้ AI จะมีความสามารถและความฉลาดเทียบเท่ามนุษย์ ทั้งความสามารถการคิดเชิงเหตุผล การวางแผนและแก้ปัญหา การคิดในเชิงซับซ้อน และสามารถเรียนรู้ได้จากประสบการณ์
การพัฒนา AI ให้มีความสามารถในระดับนี้ยากกว่าการพัฒนาในระดับ ANI เป็นอย่างมากและแน่นอนว่า AI ในตอนนี้ยังห่างไกลจากความสามารถในการเชื่อมโยงความรู้หลายสาขาหรือทำงานได้เกือบทุกอย่างเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ ไม่ได้จำกัดอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพียงอย่างเดียว
AI Caliber 3) Artificial Superintelligence (ASI)
และในระดับสุดท้ายนี้ก็คือ Artificial Superintelligence (ASI) โดย Nick Bostrom นักปรัชญาและนักคิดชั้นนำด้าน AI ได้ให้นิยามของ “Superintelligence” ไว้ว่า “เครื่องจักรที่มีสติปัญหาและความสามารถเหนือกว่าสมองมนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในเกือบทุกสาขา รวมถึงความคิดเชิงสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ ความรู้เชิงภูมิปัญญา และทักษะทางสังคม” เขาเรียกมันว่า “เครื่องจักรทรงภูมิปัญญา (Machine Superintelligence)”
ระบบปัญญาประดิษฐ์กำลังพัฒนาความฉลาดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ผลการวิจัยระบุว่า ภายในศตวรรษนี้ ระบบปัญญาประดิษฐ์จะมีความ “ฉลาด” เทียบเท่ามนุษย์ และ Nick Bostrom ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อนั้น มันจะแซงหน้ามนุษยชาติไป “ความฉลาดของเครื่องจักร จะเป็นสิ่งประดิษฐ์สุดท้าย ที่มนุษยชาติจำเป็นต้องพัฒนาขึ้น”